บทความเรื่อง เวียดนามภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส
บทนำ
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ยุคการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ซึ่งหลายประเทศในคาบสมุทรอินโดจีนไม่ว่าจะเป็นประเทศกัมพูชา ลาว
และเวียดนาม เหล่านี้ล้วนตกอยู่ภายใต้อาณานิคมฝรั่งเศส เวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
โดยฝรั่งเศสให้ความสนใจเวียดนามด้วยความหวังจะใช้เวียดนามเป็นทางผ่านเข้าไปยังตอนใต้ของจีน
การเข้ามาในเวียดนามในระยะเริ่มแรกของฝรั่งเศสได้เข้ามาทำการค้าและเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ฝรั่งเศสอาศัยช่วงที่เวียดนามเกิดความวุ่นวายเข้าแทรกแซงการเมืองภายในประเทศ และใช้กำลังทหารยึดครองเวียดนามได้ในที่สุด จากนั้นเวียดนามก็ถูกรวมเข้ากับกัมพูชาและลาว เรียกว่า สหพันธ์อินโดจีน ในคริสต์ศตวรรษที่ 20
การเข้ามายึดครองเวียดนามของฝรั่งเศสทำให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ฝรั่งเศสได้มีจัดรูปแบบการการเมืองการปกครอง และการศึกษาของเวียดนามใหม่ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม
และวัฒนธรรมอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ภายใต้การยึดครองของฝรั่งเศสนั้นก็ได้เกิดขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชมาโดยตลอด
โดยเฉพาะกลุ่มปัญญาชนที่ได้รับการศึกษาแบบฝรั่งเศส ได้มีจัดตั้ง “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งอินโดจีน”
ขึ้น มีเหงวียน อาย กว๊อก หรือที่รู้จักในนาม โฮจิมินห์ เป็นหัวหน้า
ขบวนการนี้มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชของเวียดนาม
จนในที่สุดเวียดนามได้รับเอกราชและกลายเป็นประเทศที่มีระบอบปกครองแบบสังคมนิยม
บทความนี้จึงมุ่งแสดงให้เห็นบทบาทและอิทธิพลของฝรั่งเศสตั้งแต่การเริ่มเข้ามาในเวียดนาม
จนสามารถยึดครองเวียดนามได้
ซึ่งในของช่วงการยึดครองนั้นบทความนี้มุ่งนำเสนอเหตุการณ์สำคัญๆดังนี้ ฝรั่งเศสกับการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาในด้านต่างๆ
ในเวียดนาม เช่น การเมืองการปกครอง
การศึกษา การเกษตร สภาพเศรษฐกิจและสังคม ชาวเวียดนามมีปฏิกิริยาต่อต้านอาณานิคมฝรั่งเศสอย่างไรบ้าง
การต่อสู้เพื่อเอกราชและจนได้รับเอกราชในที่สุด
และสุดท้ายจะวิเคราะห์ว่าเวียดนามได้ประโยชน์และเสียประโยชน์อย่างไรบ้างกับการตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส และสิ่งใดบ้างที่เวียดนามได้รับอิทธิพลจากการเป็นอาณานิคมที่ยังหลงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบัน
การเข้ามามีอิทธิพลในเวียดนามของฝรั่งเศส
ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ฝรั่งเศสได้ทำการแทรกแซงโดยการเข้ามาเผยแพร่ศาสนาและทำการค้าในเวียดนามเป็นสำคัญ โดยเฉพาะนักสอนศาสนาจะมีบทบาทสำคัญและมีอิทธิพลพอที่จะวางแนวทางให้ฝรั่งเศสใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงได้
ถึงแม้ว่าผู้ปกครองเวียดนามจะรู้ถึงอันตรายของการแทรกแซงของชาติฝรั่งเศส แต่โดยทั่วไปก็พร้อมที่จะเจรจาและทำการค้าด้วย
นโยบายของฝรั่งเศสที่มีต่อเวียดนามในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่
18
นั้น
ยังคงวางเฉยอยู่เป็นส่วนใหญ่
แต่การเข้ามายึดเวียดนามไม่ได้เป็นคำเรียกร้องของประชาชนหรือรัฐบาลฝรั่งเศสแต่อย่างใด
การเข้าแทรกแซงของฝรั่งเศสนั้นได้เริ่มจากบุคคลบางคนและจากการกระทำของทหารที่ไม่ได้รับอนุญาต กล่าวคือ
การแทรกแซงในอินโดจีนของฝรั่งเศสนี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความพยายามส่วนบุคคลที่จะใช้อำนาจ
ความมั่งคั่ง และชื่อเสียงของประเทศเพื่อเพิ่มพูนผลประโยชน์ของตนเอง
ในขณะนั้นเวียดนามได้แบ่งแยกดินออกเป็น 2 ประเทศ โดยคนสองกลุ่ม คือ ตระกูลตริ่นห์ปกครองฝ่ายเหนือ
และตระกูลเหงวียนปกครองฝ่ายใต้ ต่อมาในปี
ค.ศ. 1772 ได้เกิดกบฏเตย์เซินขึ้น กบฏกลุ่มนี้ทำการโค่นล้มกษัตริย์ราชวงศ์เหงวียนและราชวงศ์ตริ่นห์ได้ และรวมชาติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เวียดนามตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกเตย์เซิน สภาพในเวียดนามหลังจากเกิดกบฏเตย์เซินนี้เองเป็นการเชื้อเชิญให้ชาวยุโรปเข้ามาแทรกแซงมากขึ้น
แต่ฝรั่งเศสในขณะนั้นมีปัญหาหลายด้านที่เกิดขึ้นในประเทศ
จึงช่วยให้เวียดนามรอดพ้นไปอีกวาระหนึ่ง
พวกเตย์เซินมีอำนาจในการปกครองเวียดนาม กษัตริย์ราชวงศ์เหงวียนถูกจับปลงพระชนม์ แต่มี
เหงวียนไอ๊ห์ที่สามารถหลบหนีไปได้ โดยการช่วยเหลือของบาทหลวงชาวฝรั่งเศสชื่อ
ปินโย เดอ เบแฮน โดยได้ลอบหนีเข้ามาพึงกษัตริย์ไทย ต่อมาเหงวียนไอ๊ห์ได้กลับเข้าประเทศเวียดนามไปรวบรวมพรรคพวกเพื่อทำการปราบกบฏ
และได้ขอความช่วยเหลือทางการทหารจากไทยด้วย
แต่ก็ปราบกบฏไม่สำเร็จ
จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส
โดยการแนะนำของปินโย เดอ เบแฮน มิชชันนารีฝรั่งเศสนำโอรสองค์หนึ่งของเหงวียนไอ๊ห์ไปฝรั่งเศส
และด้วยความอนุเคราะห์ของคณะทูตต่างประเทศก็ได้เข้าเฝ้าฯพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และในปี ค.ศ 1787 ปินโย เดอ เบแฮน
ผู้แทนของเหงวียนไอ๊ห์ ได้ลงนามในข้อตกลงแวร์ซายส์กับผู้แทนฝรั่งเศส
โดยฝรั่งเศสสัญญาจะให้ความช่วยเหลือทางการทหารเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่เวียดนามจะยกเมืองท่าตูราน และเกาะปูโลคอนดอร์ ตลอดจนให้สิทธิพิเศษมาค้าขายในเวียดนามโดยกีดกันชาติยุโรปอื่นๆ
ออกไป ตรงนี้เองจึงเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้จักรวรรดินิยมฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลในเวียดนาม
ด้วยความช่วยเหลือจากฝรั่งเศสทำให้เหงวียนไอ๊ห์ปราบฝ่ายกบฏเตย์เซินได้สำเร็จใน
ค.ศ. 1802 และสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า “จักรพรรดิซาลอง” ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ เหงวียนแล้ว
ได้ทรงเปลี่ยนชื่อประเทศใหม่เป็น “นามเวียด” จักรพรรดิซาลองเมื่อได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แล้วก็ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงแวร์ซายส์
ค.ศ. 1787 แต่อย่างใด
การยึดครองเวียดนามของฝรั่งเศส
ประเทศนามเวียดใหม่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิซาลองนั้น หลังจากสามารถปราบกบฏได้สำเร็จและรวบรวมชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว
ก็ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองและอาณาประชาราษฎร์อย่างหนัก
แต่ในยุคสมัยนี้ลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกก็กำลังเฟื่องฟู ทำให้ประเทศนามเวียดต้องเผชิญกับอันตรายจากศัตรูภายนอกรูปแบบใหม่
ต่อมาในปี ค.ศ. 1820
จักรพรรดิมินห์หมางขึ้นครองราชย์
พระองค์ทรงมีทัศนะเป็นปฏิปักษ์ต่อฝรั่งเศสอย่างรุนแรง
ทรงมีทัศนะต่อบาทหลวงฝรั่งเศสที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ว่าเป็นพวกสืบราชการลับเป็นพวกบ่อนทำลาย
จึงได้มีรับสั่งให้จับพวกบาทหลวงมาขึ้นศาลและลงโทษประหารชีวิตถึง 5 คณะ
การกดขี่ทางศาสนาของจักรพรรดิมินห์หมางนี้เองเป็นเหตุให้รัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องในทางการเมืองทันที
ก่อนหน้านี้ฝรั่งเศสพยายามที่จะเจรจาและเปิดความสัมพันธ์ทางการค้ากับเวียดนาม
แต่ก็ไม่สำเร็จจนต้องเลิกความพยายามไปชั่วระยะหนึ่ง
จนกระทั่งจักรพรรดิมินห์หมางบีบคั้นพวกบาทหลวงหนักเข้า รัฐบาลฝรั่งเศสจึงเปลี่ยนนโยบายโดยใช้กำลังทหารแทรกแซง
แต่จักรพรรดิมินห์หมางก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน จักรพรรดิเตียวตรีได้สืบราชสมบัติต่อ พระองค์ได้ทรงดำเนินนโยบายเป็นปฏิปักษ์ต่อชาวฝรั่งเศส
และกีดกันในทางศาสนาเช่นเดียวกันกับจักรพรรดิมินห์หมาง แต่ไม่รุนแรงมากนัก
แต่ถ้าจับได้ก็จัดส่งเข้าคุกหมด ในระยะนี้ทางรัฐบาลฝรั่งเศสยังไม่ได้ปฏิบัติการอะไรรุนแรงนัก
เพียงส่งเรือรบเข้ามาเพื่อให้รัฐบาลเวียดนามปล่อยพวกบาทหลวงออกจากคุกเท่านั้น
ในปี ค.ศ. 1845 รัฐบาลจักรพรรดิเตียวตรีได้ตัดสินประหารบาทหลวงฝรั่งเศสคนหนึ่ง
ชื่อ เลอแฟบวร์ฝรั่งเศสจึงเรือรบเข้ามายังเมืองตูราน
ซึ่งก่อนนั้นได้มีการเนรเทศบาทหลวงเลอแฟบวร์ไปแล้ว แต่ผู้บังคับการเรือไม่ทราบเรื่อง
จึงทำให้มีการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างเรือของชาวเวียดนามกับเรือชาวฝรั่งเศส
นับเป็นต้นเหตุที่จะทำให้เหตุการณ์คับขันและรุนแรงยิ่งขึ้น
หลังจากเหตุการณ์กระทบกระทั่งอันรุนแรงนี้ไม่นาน
จักรพรรดิเตียวตรีก็สวรรคต จักรพรรดิตือดึค
มีพระชนมายุเพียง 18 พรรษา ได้สืบราชสมบัติต่อ ในปี ค.ศ. 1847
พระองค์ทรงเจริญวัยท่ามกลางการเบียดเบียนของฝรั่งเศส
จึงได้ดำเนินนโยบายรุนแรงปราศจากความยั้งคิด และคำนึงถึงผลที่ตามมา
กระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 หลังจากที่อังกฤษและฝรั่งเศสประนีประนอมผลประโยชน์ในจีนได้ ในระยะเวลานี้พระเจ้านโปเลียนที่ 3 ฝรั่งเศสได้หันมาให้ความสนใจเวียดนามอย่างจริงจัง พวกบาทหลวงคณะต่างๆ
ได้ร้องเรียนการกดขี่ทางศาสนาไปยังรัฐบาลฝรั่งเศส
พระเจ้านโปเลียนที่ 3 มีความพยายามส่งทูตเข้ามาเจรจาและทำสัญญาพันธไมตรีและพาณิชย์กับเวียดนาม
แต่จักรพรรดิตือดึคก็ไม่ยอมเจรจา ยังคงกดขี่ข่มเหงทางศาสนาเช่นเดิม
จนในเดือนกันยายน ค.ศ. 1856 ฝรั่งเศสได้ส่งมองติญญี
มาพร้อมกับเรือรบเข้าไปในอ่าวเมืองตูราน
ยื่นจดหมายขอเจรจากับเวียดนามเพื่ออนุญาตให้ฝรั่งเศสมีเสรีภาพทางการค้าและศาสนา
แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ดังนั้น พระเจ้านโปเลียนที่ 3 จึงมีนโยบายใช้กำลังทหารในการแทรกแซงและยึดครองเวียดนาม
โดยรัฐบาลฝรั่งเศสได้มีคำสั่งให้นายพลเกอนูยยี
ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือฝรั่งเศสที่ปฏิบัติการในจีน เดินทางมาเวียดนามทันทีหลังจากประสบความสำเร็จในการกดดันรัฐบาลจีนให้ยอมลงนามในสนธิสัญญาเทียมสิน
นายพลเกอนูยยีก็ได้นำกองเรือรบฝรั่งเศสมาถึงเมืองตูรานแต่ก็ไม่สามารถยึดเมืองนี้ได้
นับตั้งแต่ครึ่งหลังของ ค.ศ. 1858
เป็นต้นไป ฝรั่งเศสได้เพิ่มการรุกรานเวียดนามเพิ่มมากขึ้น
โดยต่อมาฝรั่งเศสได้ส่งแม่ทัพเรือคนใหม่เข้ามา จนสามารถยึดเมืองไซ่ง่อนของเวียดนามได้
ฝรั่งเศสได้ทำทุกวิถีทางเพื่อเป็นการบีบบังคับให้จักรพรรดิตือดึคยอมเซ็นสัญญา แต่พระองค์ยังคงเฉยเมยต่อความพยายามของฝรั่งเศส
จนกระทั่งฝรั่งเศสมีการรุกรานหนักยิ่งขึ้น
ประกอบกับเกิดกบฏจึงต้องสู้กับศึกภายในด้วย จึงทำให้จักรพรรดิตือดึคตัดสินพระทัยที่จะทำสัญญาสงบศึกกับฝรั่งเศส
ผลที่สุดทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเงื่อนไขและได้ลงนามในสัญญาสันติภาพกันที่เมืองไซ่ง่อน
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1862 ตามสนธิสัญญาสันติภาพฉบับนี้
เวียดนามยอมยก 3 จังหวัดที่ฝรั่งเศสยึดไว้ได้ทางทิศตะวันออกของไซ่ง่อน
รวมทั้งเกาะปูโลคอนดอร์ให้กับฝรั่งเศส
ยอมเปิดเมืองทางต่างๆ ให้มีการค้าขายกับประเทศตะวันตก
ทั้งยังอนุญาตให้คณะบาทหลวงฝรั่งเศสทำการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ได้โดยเสรี
และยังยินยอมให้เรือรบฝรั่งเศสแล่นขึ้นไปตามแม่น้ำโขงเพื่อไปยังชายแดนเขมรได้
นอกจากนี้ยังผูกมัดมิให้เวียดนามทำสัญญายอมยกดินแดนส่วนหนึ่งส่วนใดของตนให้แก่ชาติมหาอำนาจใดๆ
โดยมิได้รับความเห็นชอบจากฝรั่งเศสเสียก่อน ประการสุดท้ายเพื่อเป็นการชดใช้ค่าเสียหาย
เวียดนามต้องจ่ายค่าทำขวัญให้แก่ฝรั่งเศสเป็นเงิน 20 ล้านฟรังค์
หลังจากนั้นไม่นานฝรั่งเศสก็ทำการยึดครองภาคใต้ ภาคกลาง และภาคเหนือของเวียดนาม และมีข้อตกลงจนทำให้เวียดนามต้องตกเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส
ถึงแม้จีนจะพยายามเข้าแทรกแซงเพื่อรักษาอำนาจในเวียดนาม แต่ในที่สุดจีนก็ยอมลงนามในข้อตกลงเทียนสิน
จีนยอมรับอำนาจการปกครองของฝรั่งเศส
เป็นอันว่าเวียดนามตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศสโดยสมบรูณ์
การเสียดินแดนเวียดนามให้กับฝรั่งเศสแทบทั้งหมดเกิดขึ้นในสมัยจักพรรดิตือดึค
ทำให้นักประวัติศาสตร์เวียดนามสายมาร์กซิสต์ทุกคนมองว่า
ความพ่ายแพ้ของเวียดนามต่อฝรั่งเศสเกิดจากความล้มเหลวของระบบศักดินาเวียดนามและความล้าหลังทางความคิดในการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยเพื่อรับมือกับจักรวรรดินิยม
และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฝรั่งเศสเข้ายึดครองได้ง่าย คือ ความแตกแยก
ความวุ่นวายภายในประเทศ หรือที่เรียกว่า ศึกภายใน
เพราะหากพิจารณาจากประเทศที่ตกเป็นอาณานิคม เช่น ลาว กัมพูชาแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า
ความวุ่นวายภายในประเทศนี้เองที่ทำให้เหล่าจักรวรรดินิยมสามารถใช้กำลังทหารเข้ามาแทรกแซงแล้วทำการยึดครองประเทศนั้นๆได้
เวียดนามภายใต้การปกครองฝรั่งเศส
การจัดการปกครองเวียดนาม
หลังจากฝรั่งเศสยึดครองเวียดนามได้ทั้งประเทศใน
ค.ศ. 1884
แล้ว แต่มิได้มีจุดมุ่งหมายเพียงการยึดครองเวียดนาม เพราะฝรั่งเศสต้องการยึดครองกัมพูชาและลาวไว้เป็นอาณานิคมด้วย
เพื่อให้การบริหารอาณานิคมในอินโดจีนเป็นแบบแผนเดียวกันได้มีการจัดตั้งสหพันธ์อินโดจีนขึ้นในวันที่
17 เดือนตุลาคม ค.ศ. 1887
ฝรั่งเศสได้ดำเนินนโยบายแบ่งแยกและปกครอง โดยไดจัดแบ่งเวียดนามเป็น 3 ประเทศ คือ โคชินจีน อันนัม
และ ตังเกี๋ย (โดยการปกครอง 3 ประเทศนั้นฝรั่งเศสถือว่าโคชินจีนเป็นเมืองขึ้นโดยตรง
ส่วนอันนัมและตังเกี๋ยเป็นดินแดนอยู่ในความอารักขา)
มีการปกครองต่างกันไป
แต่ละประเทศแยกกัน
แต่รวมกันเรียกว่า อินโดจีนของฝรั่งเศส
ซึ่งรวมกัมพูชาและลาวเข้าไปด้วย
การดูและกิจการงานต่างๆ เช่น ความมั่นคง
การเงิน การสาธารณะ การสื่อสาร
การสารณสุข การค้าและอื่นๆ
ขึ้นอยู่กับกระทรวงอาณานิคม
โดยรัฐบาลฝรั่งเศสได้แต่งตั้งข้าหลวงใหญ่มาเป็นผู้ปกครอง
ความตั้งใจของฝรั่งเศสคือต้องการทำลายเอกภาพของชาติเวียดนาม เพื่อจะได้ง่ายต่อปกครอง
ข้าหลวงใหญ่จะปกครองอินโดจีนทั้งหมดมีสภาสูงของอินโดจีน
ซึ่งประกอบด้วยข้าหลวงและชาวฝรั่งเศสเป็นหัวหน้างานที่สำคัญๆ มากด้วย
การปกครองของชาวเวียดนามถูกจำกัด
หรือได้รับมอบหมายให้ทำงานแต่งานรองๆ
ฝรั่งเศสเป็นผู้ดูแลสภาเสนาบดีเวียดนาม
และเสนาบดีแต่ละคนมีที่ปรึกษาฝรั่งเศสกำกับอยู่ ข้าหลวงก็เป็นประธานองคมนตรีอีกด้วย
ใน ค.ศ. 1899
รัฐบาลอาณานิคมของฝรั่งเศสได้ให้การปกครองของกษัตริย์ยกเลิกการเก็บภาษีและจ่ายเงินค่าใช้จ่ายในสำนักงานส่วนพระองค์เอง ส่วนในอันนัมและตังเกี๋ย ในระดับเมืองและในระดับชนบท นอกจากข้าหลวงใหญ่ฝรั่งเศสประจำจังหวัดแล้วยังมีผู้บริหารชาวเวียดนามซึ่งเป็นเหมือนหุ่นเชิด
ข้าหลวงมีสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเป็นผู้ช่วย
สมาชิกในสภานั้นก็คัดเลือกมาจากเจ้าที่ดินกลุ่มน้อย พ่อค้าที่มั่งคั่งหรือนักอุตสาหกรรม
และผู้มีตำแหน่งสูงมามาประดับการปกครองอาณานิคม การจัดแบบการบริหารดังกล่าวไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดๆ
จนสิ้นสุดสมัยอาณานิคมของฝรั่งเศส
การจัดการศึกษาของฝรั่งเศสในเวียดนาม
ฝรั่งเศสเข้ายึดครองเวียดนามด้วยวัตถุประสงค์สำคัญด้านเศรษฐกิจ
ในขณะเดียวกันก็มุ่งเผยแพร่อารยธรรมฝรั่งเศสในเวียดนาม การที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้
รัฐบาลอาณานิคมต้องมีเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ปกครองชาวฝรั่งเศสในเวียดนามสื่อสารและจัดการระบบการเมืองการปกครองที่ตอบสนองจุดประสงค์สองประการ นั่นคือ
การจัดระบบการศึกษาใหม่เพื่อให้ชาวเวียดนามสามารถรู้และเข้าใจการบริหารราชการของฝรั่งเศสและอารยธรรมฝรั่งเศส
เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่ผลักดันให้ฝรั่งเศสต้องเข้ามาจัดระบบการศึกษาใหม่ก็คือ หลังจากฝรั่งเศสเข้ายึดครองเวียดนาม
ปัญญาชนเวียดนามที่ทำงานในระบบราชการของราชสำนักจำนวนไม่น้อยพากันหันหลังให้ระบบอาณานิคม ด้วยการไม่ร่วมมือกับรัฐบาลอาณานิคมในการเข้าปกครองเวียดนาม
ทำให้ฝรั่งเศสจำเป็นต้องสร้างนักบริหารและนักปกครองรุ่นใหม่เพื่อเข้ามาทำงานในระบบอาณานิคม เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
ฝรั่งเศสได้ดำเนินการด้านการศึกษาในเวียดนามใหม่
ใน ค.ศ. 1873 ฝรั่งเศสจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดราชการขึ้นที่ไซ่ง่อน
เพื่อให้ข้าราชการฝรั่งเศสเรียนรู้ภาษาเวียดนามและชาวเวียดนามเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศส
เพราะฝรั่งเศสเห็นว่าภาษาที่ใช้ในงานราชการเวียดนามหรือภาษาฮ้าน
(ภาษาเวียดนามเขียนด้วยอักษรจีน) ยากต่อการเข้าใจและเสียเวลาในการเรียนรู้ ฝรั่งเศสจึงประดิษฐ์ “ภาษากว๊วกหงือ” ขึ้นมาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งเป็นภาษาเวียดนามที่ใช้อักษรโรมัน ต่อมาฝรั่งเศสได้เลิกการศึกษาตามแบบจารีต โดยเฉพาะการเลิกการสอนภาษาฮ้านและและความรู้ขงจื้อแล้วเปิดสอนวิชาใหม่ๆ
ตามแบบฝรั่งเศสโดยใช้ภาษาฝรั่งเศสและภาษากว๊วกหงือ และนอกจากนี้ยังได้ยกเลิกการการสอบราชการแบบเดิมอีกด้วย
การจัดระบบการศึกษาสามัญในเวียดนาม
ได้มีการจัดเนื้อหาหลักสูตรทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
เน้นปลูกฝังให้ชาวเวียดนามเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์และอารยธรรมฝรั่งเศสมากกว่าการเรียนรู้เรื่องราวของเวียดนามเอง
อาจกล่าวได้ว่า
ระบบการศึกษาแบบใหม่ที่ฝรั่งเศสนำเข้ามาใช้ในเวียดนาม
ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางปัญญา
ความคิดและการแสวงหาความรู้ของชาวเวียดนามเป็นอย่างมาก
ความรู้แบบใหม่ค่อยๆเข้ามาแทนที่แบบเดิมของสังคมเวียดนาม
เพราะความรู้แบบใหม่ จะสามารถสร้างความก้าวหน้าในชีวิตภายใต้อาณานิคม
ผู้ที่ต้องการจะสอบเข้ารับราชการในระบบอาณานิคมต้องมีความรู้แบบใหม่
ระบบการศึกษาตามประเพณีค่อยๆ ถูกทดแทนโดยสิ่งที่เรียกว่า “ฝรั่งเศส-เวียดนาม”
สภาพเศรษฐกิจและสังคมภายใต้การปกครองฝรั่งเศส
ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้เกิดเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมเมืองตามเมืองใหญ่ๆ ในเวียดนาม
อาทิเช่นเมืองไซ่งอน
ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการปกครองภาคใต้
รัฐบาลอาณานิคมได้จัดวางผังเมืองตามแบบฝรั่งเศส
ในด้านเศรษฐกิจฝรั่งเศสได้เข้ามาพัฒนาการปลูกข้าวโดยมีจุดประสงค์เพื่อการส่งออก รวมทั้งยังทำกิจกรรมเศรษฐกิจด้านอื่นๆ เช่น
การทำสวนยางพารา การทำธุรกิจการเงิน-การธนาคาร และการขนส่งสินค้า เป็นต้น
ฝรั่งเศสได้แสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากประเทศอาณานิคม
ซึ่งการก่อตั้งโครงสร้างทางเศรษฐกิจของอาณานิคมก็เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่บริษัทฝรั่งเศสทั้งหลายซึ่งไปลงทุนกิจการในอินโดจีน
อาณานิคมจึงกลายเป็นแหล่งระบายสินค้าของอุตสาหกรรมฝรั่งเศสและยังเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบและแรงงานราคาถูกๆ
ให้อีกด้วย
ในด้านการเกษตร
ได้เปลี่ยนแปลงระบบถือครองที่ดินและการผลิตข้าวเพื่อส่งออก ฝรั่งเศสยึดครองเวียดนามด้วยจุดประสงค์ที่จะใช้ทรัพยากรที่มั่งคั่งของเวียดนาม
ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน แร่ธาตุ หรือป่าไม้อันอุดมสมบรูณ์ ฝรั่งเศสเห็นว่า
ถ้าหากสามารถพัฒนาที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงให้ปลูกข้าวได้จำนวนมาก
รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมหาศาล เพราะฉะนั้นภายหลังจากที่ยึดครองโคชินจีนได้ ฝรั่งเศสจึงตั้งใจที่จะเปลี่ยนที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงให้เป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญของเอเชีย
โดยดำเนินงานที่สำคัญ 2 ประการ คือ การพัฒนาระบบชลประทานขนาดใหญ่ และการจัดการถือครองและพัฒนาที่ดิน
กิจกรรมทั้งสองประการส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการถือครองที่ดินในภาคใต้อย่างมาก อันนำไปสู่ปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคมอื่นๆ
โดยรัฐบาลอาณานิคมได้เข้าไปจัดการเปลี่ยนแปลงระบบกรรมสิทธิ์และการถือครองที่ดินในเวียดนามเสียใหม่
จากแต่เดิมที่ที่ดินส่วนใหญ่เป็นสมบัติของส่วนกลางของหมู่บ้านและมีที่ดินเป็นทรัพย์สมบัติส่วนบุคคลน้อย
กลายเป็นที่ดินส่วนใหญ่อยู่ในการครอบครองของของเอกชนที่เป็นชาวฝรั่งเศสหรือชาวเวียดนามที่ร่วมมือกับฝรั่งเศส
ซึ่งทำให้เกิดปัญหาการกระจายการถือครองที่ดินไม่ทั่วถึง
ในส่วนของการผลิตข้าวเพื่อการส่งออกแม้จะประสบความสำเร็จ แต่กลับทำให้ชาวนารายย่อยมีฐานะยากจนลง
และตกอยู่ในภาวะหนี้สิน
เพราะกระบวนการผลิตข้าวผลักดันให้ชาวนาจำเป็นต้องกู้เงินจากนายทุน
และเมื่อไม่มีเงินส่งนายทุนเงินกู้
ทำให้ชาวจำนวนมากสูญเสียที่ดินและเปลี่ยนฐานะเป็นชาวนาเช่า
ในด้านสังคม
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจภายใต้ระบบอาณานิคม การขยายของระบบการศึกษาแบบใหม่ การแพร่หลายของสิ่งพิมพ์ประเภทต่างๆ
มีผลต่อการก่อตัวของกลุ่มสังคมแบบใหม่ในเวียดนาม
เดิมทีสังคมเวียดนามไม่ได้มีโครงสร้างสังคมและการแบ่งกลุ่มทางสังคมที่ซับซ้อน
อาจประกอบด้วยเพียงชนชั้นปกครองที่อยู่ในเมืองหลวงและหัวเมือง กับชาวนาที่อยู่ในชนบท
รูปแบบการสังคมดังกล่าวกำลังเปลี่ยนไปภายใต้ระบบอาณานิคม
ความแตกต่างด้านกายภาพระหว่างเมืองและชนบทเริ่มชัดเจนมากขึ้น
ในขณะกลุ่มผลประโยชน์ในสังคมก็เริ่มมีหลากหลายมากขึ้น
ระบบการศึกษาใหม่และการรับรู้ของวัฒนธรรมของฝรั่งเศส มีผลทำให้ค่านิยมและการประพฤติปฏิบัติตัวของหนุ่มสาวเวียดนามบางกลุ่มเปลี่ยนไป
จารีตและความเชื่อทางสงคมแบบเก่าของเวียดนามกำลังค่อยๆ เลือนหายไป
ขณะที่ความคิดและค่านิยมแบบใหม่อันเป็นอิทธิพลจากสิ่งพิมพ์และวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามาแทนที่
การต่อสู้เพื่อเอกราชเวียดนาม
เวียดนามได้เริ่มยุคใหม่ด้วยความพยายามที่จะปลดแอกจากฝรั่งเศส
ซึ่งภายใต้การยึดครองของฝรั่งเศส มีชาวเวียดนามลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเอกราชมาโดยตลอด โดยเฉพาะกลุ่มปัญญาชนที่ได้รับการศึกษาแบบฝรั่งเศส
เช่น ในปี ค.ศ. 1925 มีการก่อตั้งพรรคสมาคมชาวเวียดนามหนุ่มนักปฏิวัติ
ซึ่งต่อมาคือ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งอินโดจีน” มีเหงวียน อาย กว๊อก เป็นหัวหน้า หรือที่รู้จักในนาม โฮจิมินห์
ในยุคที่ชาติตะวันตกได้ขยายอิทธิพลเข้าในเอเชีย ในระยะเวลาใกล้ๆ กันนี้ คือ
ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 และที่ 2 ญี่ปุ่นเป็นชาติเอเชียชาติเดียวที่สามารถพัฒนาประเทศขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและทหารแข่งกับชาติยุโรปได้ ญี่ปุ่นได้ดำเนินนโยบายจักรวรรดินิยมอย่างขนาดหนัก
หลังจากที่ญี่ปุ่นชนะในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น
จากนั้นญี่ปุ่นได้เริ่มจากผนวกเกาหลีใน ค.ศ. 1910 ยึดแมนจูเรียใน ค.ศ. 1932 รุกรานจีน
ในระยะเวลาเดียวกันนี้ญี่ปุ่นก็กำลังขยายอิทธิพลอยู่ในเขตเวียดนามเหนือและในทางด้านยุโรปฝรั่งเศสได้พ่ายแพ้สงครามแก่เยอรมันนี ทำให้ในส่วนอินโดจีนของฝรั่งเศสนั้นญี่ปุ่นก็ได้เข้ามายึดครองอย่างเต็มที่ เป็นอันว่าฝรั่งเศสหมดอำนาจลงในทันที จากนั้นญี่ปุ่นก็เข้ายึดครองเวียดนาม ได้สนับสนุนให้จักรพรรดิบ๋าวด่ายมีอำนาจและประกาศเอกราชให้แก่เวียดนาม
แต่ชาวเวียดนามไม่ได้ภูมิใจกับเอกราชที่ญี่ปุ่นหยิบยื่นให้
จึงมุ่งดำเนินงานใต้ดินเพื่อกอบกู้เอกราชของชาติ ต่อมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
(สงครามมหาเอเชียบูรพาในเอเชีย) โฮจิมินห์จัดตั้งขบวนการเวียดมินห์ หรือสันนิบาตเพื่อเอกราชเวียดนาม ในเวียดนามตอนใต้ใน ค.ศ. 1941 ขบวนการนี้มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชและรวมชาติเวียดนามหลังสงครามโลกครั้งที่
2
ต่อมาญี่ปุ่นได้ยอมยุติสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรโดยไม่มีเงื่อนไข ถือได้ว่าเวียดนามได้ก้าวสู่ยุคใหม่ แต่เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสพยายามกลับเข้ามาเวียดนามปกครองอีก
การพยายามกลับมามีอำนาจของฝรั่งเศสทำให้เกิดสงครามอีกครั้ง
แต่หลังจากฝรั่งเศสรบแพ้ที่เดียนเบียนฟูในเดือนพฤษภาคม
ค.ศ. 1954 ฝรั่งเศสจึงยอมให้เอกราชแก่เวียดนามตามข้อตกลงเจนีวา
ข้อตกลงดังกล่าวแบ่งเวียดนามออกเป็น
2 ส่วนที่เส้นรุ้งที่ 17 องศาเหนือ ได้แก่ เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้
แต่ภายหลังพวกเวียดมินห์ซึ่งนำโดยโฮจิมินห์ ในปี ค.ศ. 1976 ได้มีการประกาศการรวมเวียดนามเหนือและใต้เข้าด้วยกันภายใต้รัฐบาลเดียวและประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
เป็นอันสิ้นสุดการต่อสู้เพื่อเอกราชและรวมชาติเวียดนามที่ดำเนินมาตั้งแต่ยุคอาณานิคมฝรั่งเศสในครึ่งหลังศตวรรษที่
19
จนกระทั่งถึงยุคสงครามเย็นในครึ่งหลังศตวรรษที่ 20 นับเป็นเวลากว่า
100 ปี
โดยสรุป
การแสวงหาอาณานิคมของโลกตะวันตกส่งผลให้ประเทศต่างๆ
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเชีย เป็นต้น ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาติตะวันตกที่พยายามแสวงหาดินแดนใหม่เพื่อระบายสินค้าและรองรับความเจริญเติบโตด้านอุตสาหกรรมของประเทศตะวันตก ลัทธิล่าอาณานิคม ส่วนใหญ่เป็นการแข่งขันกันระหว่างสองมหาอำนาจของชาติตะวันตก
คือ อังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อแย่งดินต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม
และวัฒนธรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก
เวียดนามก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องเผชิญกับลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก การเข้ามาเวียดนามในระยะแรกนั้น บทบาทของฝรั่งเศสได้เข้ามาเพื่อค้าขายและเผยแพร่ศาสนาคริสต์เท่านั้น
จากนั้นก็อาศัยช่วงที่เวียดนามเกิดความวุ่นวายภายในประเทศเข้าแทรกการเมืองภายในประเทศ และสุดท้ายก็ใช้กำลังทหารเข้ายึดเวียดนามไว้ภายใต้การปกครอง โดยในระยะต่อมาฝรั่งเศสก็สามารถยึดกัมพูชา
และลาวไว้เป็นอาณานิคม
และได้จัดตั้งสหพันธ์อินโดจีนเพื่อใช้ในการบริหารจัดการปกครองอาณานิคม
การเข้ามาของระบอบอาณานิคมฝรั่งเศสในดินแดนเวียดนามได้ก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นด้านวิถีชีวิต
ไปจนกระทั่งในระดับความคิดของชาวเวียดนาม
ในระหว่างที่เวียดนามตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในหลายๆด้าน เช่น
ด้านการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ ด้านการศึกษา
ด้านสังคมและวัฒนธรรม ในด้านการเมืองการปกครองนั้นฝรั่งเศสได้เข้ามาจัดระเบียบการปกครองในลักษณะของสหพันธ์อินโดจีนที่ได้รวบรวมเอากัมพูชาและลาวเข้าไว้ด้วย
ในด้านเศรษฐกิจนั้นฝรั่งเศสได้แสวงหาผลประโยชน์ในดินแดนเวียดนามโดยเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการถือครองที่ดิน ซึ่งทำให้ที่ดินส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยชาวฝรั่งเศส และการผลิตข้าวเพื่อการส่งออกนี้ก็ทำให้วิถีชีวิตของชาวนาเวียดนามเปลี่ยนแปลงไปด้วย ในด้านการศึกษาฝรั่งเศสได้ประดิษฐ์ภาษาเวียดนามที่ใช้อักษรโรมัน
ที่เรียกว่า อักษรกว๊วกหงือ ขึ้นมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้ง่ายต่อการใช้ภาษาสื่อสาร ซึ่งเดิมเป็นภาษาฮ้านที่ทำให้เขียนช้าและยากต่อการเรียนรู้
ส่วนในด้านสังคมและวัฒนธรรม การได้รับการศึกษาแบบใหม่ และการเผยแพร่วัฒนธรรมฝรั่งเศส
เป็นความพยายามกลืนวัฒนธรรมและครอบงำความเป็นชาติของเวียดนาม
เพื่อที่จะได้ง่ายต่อการปกครองเวียดนาม
นอกจากนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมเมืองสมัยใหม่
หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ
โดยเฉพาะในด้านการศึกษานี้เอง
อักษรกว๊วกหงือถูกนำมาเป็นเครื่องมือให้ขบวนการชาตินิยมเวียดนามใช้เผยแพร่ความเกี่ยวกับเอกราชและการพัฒนาต่างๆ
โดยปัญญาชนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการศึกษาแบบฝรั่งเศสซึ่งนำโดยโฮจิมินห์
ในยามที่เกิดศึกภายนอกชาวเวียดนามผนึกกำลังเพื่อต่อต้านฝรั่งเศสหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ
จนกระทั่งโฮจิมินห์วีรบุรุษแห่งเวียดนามได้ก่อตั้งขบวนการเวียดมินห์ โดยรวบรวมกำลังของคนในชาติต่อสู้กับฝรั่งเศสจนสามารถกอบกู้เอกราชเวียดนามได้
และบทสุดท้ายของการสิ้นสุดสงคราม
เวียดนามได้กลายเป็นประเทศที่มีระบบการปกครองแบบสังคมนิยม
จากการที่เวียดนามอยู่ใต้การปกครองฝรั่งเศสนั้นผลเสียที่เวียดนามได้รับคือ
รูปแบบวิถีการดำเนินชีวิตแบบเดิม การปกครองที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ทำให้เวียดนามสูญเสียรายได้ในการพัฒนาประเทศ
การเปลี่ยนแปลงการถือครองที่ดินส่งผลกระทบต่อชาวนารายย่อย
และความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของชาวเวียดนาม
ในส่วนผลประโยชน์นั้นเวียดนามได้รับการพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น ระบบถนน ระบบสาธารณสุข การพัฒนาชลประทาน โดยเฉพาะในด้านศึกษา
การประดิษฐ์อักษรกว๊วกหงือใช้ในการเรียนนั้นได้รับการถ่ายทอดมาเป็นระบบภาษาเวียดนามที่ใช้ในการสื่อสารมาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งทำให้ให้ง่ายสะดวกต่อการใช้ในการเรียนรู้
บรรณานุกรม
นิจ ทองโสภิต.
สงครามเวียดนามและไทยจะเป็นเวียดนามแห่งที่สองหรือไม่. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จรัล
สนทวงศ์, 2516.
เพ็ชรี สุมิตร. ประวัติศาสตร์การเมืองเวียดนาม.
กรุงเทพฯ : บริษัทสำนักพิมพ์
ไทยวัฒนาพานิช จำกัด ,
2522.
เพ็ชรี สุมิตร. เวียดนามประวัติศาสตร์ฉบับพิสดาร.
พิมพ์ครั้งที่ 2 : มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย,
มูลนิธิ
โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, 2552.
สุด จอนเจิดสิน.
ประวัติศาสตร์เวียดนามตั้งแต่สมัยอาณานิคมจนถึงปัจจุบัน. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่
ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550.