วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

บทความเรื่อง เวียดนามภายใต้การปกครองฝรั่งเศส

บทความเรื่อง  เวียดนามภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส
บทนำ
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ยุคการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ซึ่งหลายประเทศในคาบสมุทรอินโดจีนไม่ว่าจะเป็นประเทศกัมพูชา  ลาว  และเวียดนาม เหล่านี้ล้วนตกอยู่ภายใต้อาณานิคมฝรั่งเศส  เวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสให้ความสนใจเวียดนามด้วยความหวังจะใช้เวียดนามเป็นทางผ่านเข้าไปยังตอนใต้ของจีน การเข้ามาในเวียดนามในระยะเริ่มแรกของฝรั่งเศสได้เข้ามาทำการค้าและเผยแพร่ศาสนาคริสต์  ฝรั่งเศสอาศัยช่วงที่เวียดนามเกิดความวุ่นวายเข้าแทรกแซงการเมืองภายในประเทศ   และใช้กำลังทหารยึดครองเวียดนามได้ในที่สุด  จากนั้นเวียดนามก็ถูกรวมเข้ากับกัมพูชาและลาว  เรียกว่า สหพันธ์อินโดจีน ในคริสต์ศตวรรษที่ 20
การเข้ามายึดครองเวียดนามของฝรั่งเศสทำให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  ฝรั่งเศสได้มีจัดรูปแบบการการเมืองการปกครอง และการศึกษาของเวียดนามใหม่  นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ  สังคม  และวัฒนธรรมอีกด้วย  อย่างไรก็ตาม  ภายใต้การยึดครองของฝรั่งเศสนั้นก็ได้เกิดขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชมาโดยตลอด  โดยเฉพาะกลุ่มปัญญาชนที่ได้รับการศึกษาแบบฝรั่งเศส  ได้มีจัดตั้ง “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งอินโดจีน” ขึ้น  มีเหงวียน อาย  กว๊อก หรือที่รู้จักในนาม โฮจิมินห์ เป็นหัวหน้า  ขบวนการนี้มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชของเวียดนาม จนในที่สุดเวียดนามได้รับเอกราชและกลายเป็นประเทศที่มีระบอบปกครองแบบสังคมนิยม
บทความนี้จึงมุ่งแสดงให้เห็นบทบาทและอิทธิพลของฝรั่งเศสตั้งแต่การเริ่มเข้ามาในเวียดนาม จนสามารถยึดครองเวียดนามได้  ซึ่งในของช่วงการยึดครองนั้นบทความนี้มุ่งนำเสนอเหตุการณ์สำคัญๆดังนี้  ฝรั่งเศสกับการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาในด้านต่างๆ ในเวียดนาม  เช่น การเมืองการปกครอง การศึกษา การเกษตร สภาพเศรษฐกิจและสังคม  ชาวเวียดนามมีปฏิกิริยาต่อต้านอาณานิคมฝรั่งเศสอย่างไรบ้าง  การต่อสู้เพื่อเอกราชและจนได้รับเอกราชในที่สุด  และสุดท้ายจะวิเคราะห์ว่าเวียดนามได้ประโยชน์และเสียประโยชน์อย่างไรบ้างกับการตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส  และสิ่งใดบ้างที่เวียดนามได้รับอิทธิพลจากการเป็นอาณานิคมที่ยังหลงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบัน


การเข้ามามีอิทธิพลในเวียดนามของฝรั่งเศส
ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ฝรั่งเศสได้ทำการแทรกแซงโดยการเข้ามาเผยแพร่ศาสนาและทำการค้าในเวียดนามเป็นสำคัญ  โดยเฉพาะนักสอนศาสนาจะมีบทบาทสำคัญและมีอิทธิพลพอที่จะวางแนวทางให้ฝรั่งเศสใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงได้  ถึงแม้ว่าผู้ปกครองเวียดนามจะรู้ถึงอันตรายของการแทรกแซงของชาติฝรั่งเศส  แต่โดยทั่วไปก็พร้อมที่จะเจรจาและทำการค้าด้วย
นโยบายของฝรั่งเศสที่มีต่อเวียดนามในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 18 นั้น  ยังคงวางเฉยอยู่เป็นส่วนใหญ่  แต่การเข้ามายึดเวียดนามไม่ได้เป็นคำเรียกร้องของประชาชนหรือรัฐบาลฝรั่งเศสแต่อย่างใด การเข้าแทรกแซงของฝรั่งเศสนั้นได้เริ่มจากบุคคลบางคนและจากการกระทำของทหารที่ไม่ได้รับอนุญาต  กล่าวคือ การแทรกแซงในอินโดจีนของฝรั่งเศสนี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความพยายามส่วนบุคคลที่จะใช้อำนาจ ความมั่งคั่ง และชื่อเสียงของประเทศเพื่อเพิ่มพูนผลประโยชน์ของตนเอง
ในขณะนั้นเวียดนามได้แบ่งแยกดินออกเป็น 2 ประเทศ โดยคนสองกลุ่ม คือ ตระกูลตริ่นห์ปกครองฝ่ายเหนือ และตระกูลเหงวียนปกครองฝ่ายใต้  ต่อมาในปี ค.ศ. 1772 ได้เกิดกบฏเตย์เซินขึ้น กบฏกลุ่มนี้ทำการโค่นล้มกษัตริย์ราชวงศ์เหงวียนและราชวงศ์ตริ่นห์ได้  และรวมชาติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เวียดนามตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกเตย์เซิน สภาพในเวียดนามหลังจากเกิดกบฏเตย์เซินนี้เองเป็นการเชื้อเชิญให้ชาวยุโรปเข้ามาแทรกแซงมากขึ้น   แต่ฝรั่งเศสในขณะนั้นมีปัญหาหลายด้านที่เกิดขึ้นในประเทศ จึงช่วยให้เวียดนามรอดพ้นไปอีกวาระหนึ่ง
พวกเตย์เซินมีอำนาจในการปกครองเวียดนาม กษัตริย์ราชวงศ์เหงวียนถูกจับปลงพระชนม์  แต่มี     เหงวียนไอ๊ห์ที่สามารถหลบหนีไปได้ โดยการช่วยเหลือของบาทหลวงชาวฝรั่งเศสชื่อ ปินโย เดอ เบแฮน  โดยได้ลอบหนีเข้ามาพึงกษัตริย์ไทย  ต่อมาเหงวียนไอ๊ห์ได้กลับเข้าประเทศเวียดนามไปรวบรวมพรรคพวกเพื่อทำการปราบกบฏ และได้ขอความช่วยเหลือทางการทหารจากไทยด้วย  แต่ก็ปราบกบฏไม่สำเร็จ  จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส  โดยการแนะนำของปินโย  เดอ เบแฮน  มิชชันนารีฝรั่งเศสนำโอรสองค์หนึ่งของเหงวียนไอ๊ห์ไปฝรั่งเศส  และด้วยความอนุเคราะห์ของคณะทูตต่างประเทศก็ได้เข้าเฝ้าฯพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  และในปี  ค.ศ 1787  ปินโย  เดอ  เบแฮน  ผู้แทนของเหงวียนไอ๊ห์ ได้ลงนามในข้อตกลงแวร์ซายส์กับผู้แทนฝรั่งเศส  โดยฝรั่งเศสสัญญาจะให้ความช่วยเหลือทางการทหารเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่เวียดนามจะยกเมืองท่าตูราน  และเกาะปูโลคอนดอร์  ตลอดจนให้สิทธิพิเศษมาค้าขายในเวียดนามโดยกีดกันชาติยุโรปอื่นๆ ออกไป  ตรงนี้เองจึงเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้จักรวรรดินิยมฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลในเวียดนาม ด้วยความช่วยเหลือจากฝรั่งเศสทำให้เหงวียนไอ๊ห์ปราบฝ่ายกบฏเตย์เซินได้สำเร็จใน ค.ศ. 1802 และสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า  “จักรพรรดิซาลอง” ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์   เหงวียนแล้ว  ได้ทรงเปลี่ยนชื่อประเทศใหม่เป็น “นามเวียด”  จักรพรรดิซาลองเมื่อได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แล้วก็ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงแวร์ซายส์ ค.ศ. 1787 แต่อย่างใด
การยึดครองเวียดนามของฝรั่งเศส
ประเทศนามเวียดใหม่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิซาลองนั้น  หลังจากสามารถปราบกบฏได้สำเร็จและรวบรวมชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ก็ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองและอาณาประชาราษฎร์อย่างหนัก  แต่ในยุคสมัยนี้ลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกก็กำลังเฟื่องฟู  ทำให้ประเทศนามเวียดต้องเผชิญกับอันตรายจากศัตรูภายนอกรูปแบบใหม่
ต่อมาในปี ค.ศ. 1820 จักรพรรดิมินห์หมางขึ้นครองราชย์  พระองค์ทรงมีทัศนะเป็นปฏิปักษ์ต่อฝรั่งเศสอย่างรุนแรง ทรงมีทัศนะต่อบาทหลวงฝรั่งเศสที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ว่าเป็นพวกสืบราชการลับเป็นพวกบ่อนทำลาย จึงได้มีรับสั่งให้จับพวกบาทหลวงมาขึ้นศาลและลงโทษประหารชีวิตถึง 5 คณะ
การกดขี่ทางศาสนาของจักรพรรดิมินห์หมางนี้เองเป็นเหตุให้รัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องในทางการเมืองทันที  ก่อนหน้านี้ฝรั่งเศสพยายามที่จะเจรจาและเปิดความสัมพันธ์ทางการค้ากับเวียดนาม  แต่ก็ไม่สำเร็จจนต้องเลิกความพยายามไปชั่วระยะหนึ่ง  จนกระทั่งจักรพรรดิมินห์หมางบีบคั้นพวกบาทหลวงหนักเข้า  รัฐบาลฝรั่งเศสจึงเปลี่ยนนโยบายโดยใช้กำลังทหารแทรกแซง  แต่จักรพรรดิมินห์หมางก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน  จักรพรรดิเตียวตรีได้สืบราชสมบัติต่อ  พระองค์ได้ทรงดำเนินนโยบายเป็นปฏิปักษ์ต่อชาวฝรั่งเศส  และกีดกันในทางศาสนาเช่นเดียวกันกับจักรพรรดิมินห์หมาง แต่ไม่รุนแรงมากนัก แต่ถ้าจับได้ก็จัดส่งเข้าคุกหมด  ในระยะนี้ทางรัฐบาลฝรั่งเศสยังไม่ได้ปฏิบัติการอะไรรุนแรงนัก  เพียงส่งเรือรบเข้ามาเพื่อให้รัฐบาลเวียดนามปล่อยพวกบาทหลวงออกจากคุกเท่านั้น
ในปี ค.ศ. 1845 รัฐบาลจักรพรรดิเตียวตรีได้ตัดสินประหารบาทหลวงฝรั่งเศสคนหนึ่ง ชื่อ เลอแฟบวร์ฝรั่งเศสจึงเรือรบเข้ามายังเมืองตูราน  ซึ่งก่อนนั้นได้มีการเนรเทศบาทหลวงเลอแฟบวร์ไปแล้ว  แต่ผู้บังคับการเรือไม่ทราบเรื่อง จึงทำให้มีการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างเรือของชาวเวียดนามกับเรือชาวฝรั่งเศส  นับเป็นต้นเหตุที่จะทำให้เหตุการณ์คับขันและรุนแรงยิ่งขึ้น หลังจากเหตุการณ์กระทบกระทั่งอันรุนแรงนี้ไม่นาน  จักรพรรดิเตียวตรีก็สวรรคต   จักรพรรดิตือดึค มีพระชนมายุเพียง 18 พรรษา ได้สืบราชสมบัติต่อ ในปี ค.ศ. 1847 พระองค์ทรงเจริญวัยท่ามกลางการเบียดเบียนของฝรั่งเศส จึงได้ดำเนินนโยบายรุนแรงปราศจากความยั้งคิด และคำนึงถึงผลที่ตามมา
กระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 หลังจากที่อังกฤษและฝรั่งเศสประนีประนอมผลประโยชน์ในจีนได้  ในระยะเวลานี้พระเจ้านโปเลียนที่ ฝรั่งเศสได้หันมาให้ความสนใจเวียดนามอย่างจริงจัง  พวกบาทหลวงคณะต่างๆ ได้ร้องเรียนการกดขี่ทางศาสนาไปยังรัฐบาลฝรั่งเศส  พระเจ้านโปเลียนที่ 3 มีความพยายามส่งทูตเข้ามาเจรจาและทำสัญญาพันธไมตรีและพาณิชย์กับเวียดนาม แต่จักรพรรดิตือดึคก็ไม่ยอมเจรจา ยังคงกดขี่ข่มเหงทางศาสนาเช่นเดิม จนในเดือนกันยายน ค.ศ. 1856 ฝรั่งเศสได้ส่งมองติญญี มาพร้อมกับเรือรบเข้าไปในอ่าวเมืองตูราน ยื่นจดหมายขอเจรจากับเวียดนามเพื่ออนุญาตให้ฝรั่งเศสมีเสรีภาพทางการค้าและศาสนา แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ดังนั้น พระเจ้านโปเลียนที่ 3 จึงมีนโยบายใช้กำลังทหารในการแทรกแซงและยึดครองเวียดนาม โดยรัฐบาลฝรั่งเศสได้มีคำสั่งให้นายพลเกอนูยยี ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือฝรั่งเศสที่ปฏิบัติการในจีน  เดินทางมาเวียดนามทันทีหลังจากประสบความสำเร็จในการกดดันรัฐบาลจีนให้ยอมลงนามในสนธิสัญญาเทียมสิน นายพลเกอนูยยีก็ได้นำกองเรือรบฝรั่งเศสมาถึงเมืองตูรานแต่ก็ไม่สามารถยึดเมืองนี้ได้
นับตั้งแต่ครึ่งหลังของ ค.ศ. 1858 เป็นต้นไป ฝรั่งเศสได้เพิ่มการรุกรานเวียดนามเพิ่มมากขึ้น โดยต่อมาฝรั่งเศสได้ส่งแม่ทัพเรือคนใหม่เข้ามา จนสามารถยึดเมืองไซ่ง่อนของเวียดนามได้ ฝรั่งเศสได้ทำทุกวิถีทางเพื่อเป็นการบีบบังคับให้จักรพรรดิตือดึคยอมเซ็นสัญญา  แต่พระองค์ยังคงเฉยเมยต่อความพยายามของฝรั่งเศส จนกระทั่งฝรั่งเศสมีการรุกรานหนักยิ่งขึ้น ประกอบกับเกิดกบฏจึงต้องสู้กับศึกภายในด้วย จึงทำให้จักรพรรดิตือดึคตัดสินพระทัยที่จะทำสัญญาสงบศึกกับฝรั่งเศส ผลที่สุดทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเงื่อนไขและได้ลงนามในสัญญาสันติภาพกันที่เมืองไซ่ง่อน เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1862 ตามสนธิสัญญาสันติภาพฉบับนี้ เวียดนามยอมยก 3 จังหวัดที่ฝรั่งเศสยึดไว้ได้ทางทิศตะวันออกของไซ่ง่อน รวมทั้งเกาะปูโลคอนดอร์ให้กับฝรั่งเศส  ยอมเปิดเมืองทางต่างๆ ให้มีการค้าขายกับประเทศตะวันตก  ทั้งยังอนุญาตให้คณะบาทหลวงฝรั่งเศสทำการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ได้โดยเสรี  และยังยินยอมให้เรือรบฝรั่งเศสแล่นขึ้นไปตามแม่น้ำโขงเพื่อไปยังชายแดนเขมรได้ นอกจากนี้ยังผูกมัดมิให้เวียดนามทำสัญญายอมยกดินแดนส่วนหนึ่งส่วนใดของตนให้แก่ชาติมหาอำนาจใดๆ โดยมิได้รับความเห็นชอบจากฝรั่งเศสเสียก่อน ประการสุดท้ายเพื่อเป็นการชดใช้ค่าเสียหาย เวียดนามต้องจ่ายค่าทำขวัญให้แก่ฝรั่งเศสเป็นเงิน 20 ล้านฟรังค์  หลังจากนั้นไม่นานฝรั่งเศสก็ทำการยึดครองภาคใต้  ภาคกลาง และภาคเหนือของเวียดนาม  และมีข้อตกลงจนทำให้เวียดนามต้องตกเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส ถึงแม้จีนจะพยายามเข้าแทรกแซงเพื่อรักษาอำนาจในเวียดนาม  แต่ในที่สุดจีนก็ยอมลงนามในข้อตกลงเทียนสิน จีนยอมรับอำนาจการปกครองของฝรั่งเศส เป็นอันว่าเวียดนามตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศสโดยสมบรูณ์
การเสียดินแดนเวียดนามให้กับฝรั่งเศสแทบทั้งหมดเกิดขึ้นในสมัยจักพรรดิตือดึค  ทำให้นักประวัติศาสตร์เวียดนามสายมาร์กซิสต์ทุกคนมองว่า ความพ่ายแพ้ของเวียดนามต่อฝรั่งเศสเกิดจากความล้มเหลวของระบบศักดินาเวียดนามและความล้าหลังทางความคิดในการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยเพื่อรับมือกับจักรวรรดินิยม และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฝรั่งเศสเข้ายึดครองได้ง่าย คือ ความแตกแยก ความวุ่นวายภายในประเทศ หรือที่เรียกว่า ศึกภายใน เพราะหากพิจารณาจากประเทศที่ตกเป็นอาณานิคม เช่น ลาว กัมพูชาแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ความวุ่นวายภายในประเทศนี้เองที่ทำให้เหล่าจักรวรรดินิยมสามารถใช้กำลังทหารเข้ามาแทรกแซงแล้วทำการยึดครองประเทศนั้นๆได้
เวียดนามภายใต้การปกครองฝรั่งเศส
การจัดการปกครองเวียดนาม
หลังจากฝรั่งเศสยึดครองเวียดนามได้ทั้งประเทศใน ค.ศ. 1884 แล้ว  แต่มิได้มีจุดมุ่งหมายเพียงการยึดครองเวียดนาม  เพราะฝรั่งเศสต้องการยึดครองกัมพูชาและลาวไว้เป็นอาณานิคมด้วย  เพื่อให้การบริหารอาณานิคมในอินโดจีนเป็นแบบแผนเดียวกันได้มีการจัดตั้งสหพันธ์อินโดจีนขึ้นในวันที่ 17 เดือนตุลาคม ค.ศ. 1887  
ฝรั่งเศสได้ดำเนินนโยบายแบ่งแยกและปกครอง  โดยไดจัดแบ่งเวียดนามเป็น  3 ประเทศ คือ โคชินจีน  อันนัม  และ ตังเกี๋ย (โดยการปกครอง 3 ประเทศนั้นฝรั่งเศสถือว่าโคชินจีนเป็นเมืองขึ้นโดยตรง  ส่วนอันนัมและตังเกี๋ยเป็นดินแดนอยู่ในความอารักขา) มีการปกครองต่างกันไป  แต่ละประเทศแยกกัน  แต่รวมกันเรียกว่า อินโดจีนของฝรั่งเศส  ซึ่งรวมกัมพูชาและลาวเข้าไปด้วย  การดูและกิจการงานต่างๆ เช่น ความมั่นคง  การเงิน  การสาธารณะ  การสื่อสาร  การสารณสุข  การค้าและอื่นๆ ขึ้นอยู่กับกระทรวงอาณานิคม  โดยรัฐบาลฝรั่งเศสได้แต่งตั้งข้าหลวงใหญ่มาเป็นผู้ปกครอง  ความตั้งใจของฝรั่งเศสคือต้องการทำลายเอกภาพของชาติเวียดนาม เพื่อจะได้ง่ายต่อปกครอง 
 ข้าหลวงใหญ่จะปกครองอินโดจีนทั้งหมดมีสภาสูงของอินโดจีน  ซึ่งประกอบด้วยข้าหลวงและชาวฝรั่งเศสเป็นหัวหน้างานที่สำคัญๆ มากด้วย การปกครองของชาวเวียดนามถูกจำกัด  หรือได้รับมอบหมายให้ทำงานแต่งานรองๆ  ฝรั่งเศสเป็นผู้ดูแลสภาเสนาบดีเวียดนาม  และเสนาบดีแต่ละคนมีที่ปรึกษาฝรั่งเศสกำกับอยู่  ข้าหลวงก็เป็นประธานองคมนตรีอีกด้วย
ใน ค.ศ. 1899 รัฐบาลอาณานิคมของฝรั่งเศสได้ให้การปกครองของกษัตริย์ยกเลิกการเก็บภาษีและจ่ายเงินค่าใช้จ่ายในสำนักงานส่วนพระองค์เอง  ส่วนในอันนัมและตังเกี๋ย  ในระดับเมืองและในระดับชนบท  นอกจากข้าหลวงใหญ่ฝรั่งเศสประจำจังหวัดแล้วยังมีผู้บริหารชาวเวียดนามซึ่งเป็นเหมือนหุ่นเชิด  ข้าหลวงมีสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเป็นผู้ช่วย  สมาชิกในสภานั้นก็คัดเลือกมาจากเจ้าที่ดินกลุ่มน้อย  พ่อค้าที่มั่งคั่งหรือนักอุตสาหกรรม  และผู้มีตำแหน่งสูงมามาประดับการปกครองอาณานิคม  การจัดแบบการบริหารดังกล่าวไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดๆ จนสิ้นสุดสมัยอาณานิคมของฝรั่งเศส
การจัดการศึกษาของฝรั่งเศสในเวียดนาม
 ฝรั่งเศสเข้ายึดครองเวียดนามด้วยวัตถุประสงค์สำคัญด้านเศรษฐกิจ  ในขณะเดียวกันก็มุ่งเผยแพร่อารยธรรมฝรั่งเศสในเวียดนาม  การที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้  รัฐบาลอาณานิคมต้องมีเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ปกครองชาวฝรั่งเศสในเวียดนามสื่อสารและจัดการระบบการเมืองการปกครองที่ตอบสนองจุดประสงค์สองประการ  นั่นคือ  การจัดระบบการศึกษาใหม่เพื่อให้ชาวเวียดนามสามารถรู้และเข้าใจการบริหารราชการของฝรั่งเศสและอารยธรรมฝรั่งเศส  เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่ผลักดันให้ฝรั่งเศสต้องเข้ามาจัดระบบการศึกษาใหม่ก็คือ  หลังจากฝรั่งเศสเข้ายึดครองเวียดนาม  ปัญญาชนเวียดนามที่ทำงานในระบบราชการของราชสำนักจำนวนไม่น้อยพากันหันหลังให้ระบบอาณานิคม  ด้วยการไม่ร่วมมือกับรัฐบาลอาณานิคมในการเข้าปกครองเวียดนาม  ทำให้ฝรั่งเศสจำเป็นต้องสร้างนักบริหารและนักปกครองรุ่นใหม่เพื่อเข้ามาทำงานในระบบอาณานิคม  เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว  ฝรั่งเศสได้ดำเนินการด้านการศึกษาในเวียดนามใหม่
ใน ค.ศ. 1873 ฝรั่งเศสจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดราชการขึ้นที่ไซ่ง่อน  เพื่อให้ข้าราชการฝรั่งเศสเรียนรู้ภาษาเวียดนามและชาวเวียดนามเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศส  เพราะฝรั่งเศสเห็นว่าภาษาที่ใช้ในงานราชการเวียดนามหรือภาษาฮ้าน (ภาษาเวียดนามเขียนด้วยอักษรจีน) ยากต่อการเข้าใจและเสียเวลาในการเรียนรู้  ฝรั่งเศสจึงประดิษฐ์ “ภาษากว๊วกหงือ”  ขึ้นมาใช้ในการเรียนการสอน  ซึ่งเป็นภาษาเวียดนามที่ใช้อักษรโรมัน  ต่อมาฝรั่งเศสได้เลิกการศึกษาตามแบบจารีต โดยเฉพาะการเลิกการสอนภาษาฮ้านและและความรู้ขงจื้อแล้วเปิดสอนวิชาใหม่ๆ ตามแบบฝรั่งเศสโดยใช้ภาษาฝรั่งเศสและภาษากว๊วกหงือ  และนอกจากนี้ยังได้ยกเลิกการการสอบราชการแบบเดิมอีกด้วย
การจัดระบบการศึกษาสามัญในเวียดนาม  ได้มีการจัดเนื้อหาหลักสูตรทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เน้นปลูกฝังให้ชาวเวียดนามเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์และอารยธรรมฝรั่งเศสมากกว่าการเรียนรู้เรื่องราวของเวียดนามเอง
อาจกล่าวได้ว่า  ระบบการศึกษาแบบใหม่ที่ฝรั่งเศสนำเข้ามาใช้ในเวียดนาม ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางปัญญา  ความคิดและการแสวงหาความรู้ของชาวเวียดนามเป็นอย่างมาก  ความรู้แบบใหม่ค่อยๆเข้ามาแทนที่แบบเดิมของสังคมเวียดนาม เพราะความรู้แบบใหม่ จะสามารถสร้างความก้าวหน้าในชีวิตภายใต้อาณานิคม  ผู้ที่ต้องการจะสอบเข้ารับราชการในระบบอาณานิคมต้องมีความรู้แบบใหม่ ระบบการศึกษาตามประเพณีค่อยๆ ถูกทดแทนโดยสิ่งที่เรียกว่า “ฝรั่งเศส-เวียดนาม”
สภาพเศรษฐกิจและสังคมภายใต้การปกครองฝรั่งเศส
ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้เกิดเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมเมืองตามเมืองใหญ่ๆ ในเวียดนาม อาทิเช่นเมืองไซ่งอน  ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการปกครองภาคใต้  รัฐบาลอาณานิคมได้จัดวางผังเมืองตามแบบฝรั่งเศส  ในด้านเศรษฐกิจฝรั่งเศสได้เข้ามาพัฒนาการปลูกข้าวโดยมีจุดประสงค์เพื่อการส่งออก  รวมทั้งยังทำกิจกรรมเศรษฐกิจด้านอื่นๆ เช่น การทำสวนยางพารา การทำธุรกิจการเงิน-การธนาคาร และการขนส่งสินค้า เป็นต้น
ฝรั่งเศสได้แสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากประเทศอาณานิคม  ซึ่งการก่อตั้งโครงสร้างทางเศรษฐกิจของอาณานิคมก็เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่บริษัทฝรั่งเศสทั้งหลายซึ่งไปลงทุนกิจการในอินโดจีน  อาณานิคมจึงกลายเป็นแหล่งระบายสินค้าของอุตสาหกรรมฝรั่งเศสและยังเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบและแรงงานราคาถูกๆ ให้อีกด้วย
ในด้านการเกษตร ได้เปลี่ยนแปลงระบบถือครองที่ดินและการผลิตข้าวเพื่อส่งออก  ฝรั่งเศสยึดครองเวียดนามด้วยจุดประสงค์ที่จะใช้ทรัพยากรที่มั่งคั่งของเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน  แร่ธาตุ  หรือป่าไม้อันอุดมสมบรูณ์  ฝรั่งเศสเห็นว่า  ถ้าหากสามารถพัฒนาที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงให้ปลูกข้าวได้จำนวนมาก  รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมหาศาล  เพราะฉะนั้นภายหลังจากที่ยึดครองโคชินจีนได้  ฝรั่งเศสจึงตั้งใจที่จะเปลี่ยนที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงให้เป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญของเอเชีย โดยดำเนินงานที่สำคัญ 2 ประการ คือ  การพัฒนาระบบชลประทานขนาดใหญ่  และการจัดการถือครองและพัฒนาที่ดิน กิจกรรมทั้งสองประการส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการถือครองที่ดินในภาคใต้อย่างมาก  อันนำไปสู่ปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคมอื่นๆ โดยรัฐบาลอาณานิคมได้เข้าไปจัดการเปลี่ยนแปลงระบบกรรมสิทธิ์และการถือครองที่ดินในเวียดนามเสียใหม่  จากแต่เดิมที่ที่ดินส่วนใหญ่เป็นสมบัติของส่วนกลางของหมู่บ้านและมีที่ดินเป็นทรัพย์สมบัติส่วนบุคคลน้อย  กลายเป็นที่ดินส่วนใหญ่อยู่ในการครอบครองของของเอกชนที่เป็นชาวฝรั่งเศสหรือชาวเวียดนามที่ร่วมมือกับฝรั่งเศส  ซึ่งทำให้เกิดปัญหาการกระจายการถือครองที่ดินไม่ทั่วถึง ในส่วนของการผลิตข้าวเพื่อการส่งออกแม้จะประสบความสำเร็จ  แต่กลับทำให้ชาวนารายย่อยมีฐานะยากจนลง และตกอยู่ในภาวะหนี้สิน เพราะกระบวนการผลิตข้าวผลักดันให้ชาวนาจำเป็นต้องกู้เงินจากนายทุน และเมื่อไม่มีเงินส่งนายทุนเงินกู้ ทำให้ชาวจำนวนมากสูญเสียที่ดินและเปลี่ยนฐานะเป็นชาวนาเช่า
ในด้านสังคม  เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจภายใต้ระบบอาณานิคม  การขยายของระบบการศึกษาแบบใหม่  การแพร่หลายของสิ่งพิมพ์ประเภทต่างๆ มีผลต่อการก่อตัวของกลุ่มสังคมแบบใหม่ในเวียดนาม  เดิมทีสังคมเวียดนามไม่ได้มีโครงสร้างสังคมและการแบ่งกลุ่มทางสังคมที่ซับซ้อน  อาจประกอบด้วยเพียงชนชั้นปกครองที่อยู่ในเมืองหลวงและหัวเมือง  กับชาวนาที่อยู่ในชนบท  รูปแบบการสังคมดังกล่าวกำลังเปลี่ยนไปภายใต้ระบบอาณานิคม  ความแตกต่างด้านกายภาพระหว่างเมืองและชนบทเริ่มชัดเจนมากขึ้น  ในขณะกลุ่มผลประโยชน์ในสังคมก็เริ่มมีหลากหลายมากขึ้น  ระบบการศึกษาใหม่และการรับรู้ของวัฒนธรรมของฝรั่งเศส  มีผลทำให้ค่านิยมและการประพฤติปฏิบัติตัวของหนุ่มสาวเวียดนามบางกลุ่มเปลี่ยนไป  จารีตและความเชื่อทางสงคมแบบเก่าของเวียดนามกำลังค่อยๆ เลือนหายไป ขณะที่ความคิดและค่านิยมแบบใหม่อันเป็นอิทธิพลจากสิ่งพิมพ์และวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามาแทนที่
 การต่อสู้เพื่อเอกราชเวียดนาม
เวียดนามได้เริ่มยุคใหม่ด้วยความพยายามที่จะปลดแอกจากฝรั่งเศส ซึ่งภายใต้การยึดครองของฝรั่งเศส มีชาวเวียดนามลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเอกราชมาโดยตลอด โดยเฉพาะกลุ่มปัญญาชนที่ได้รับการศึกษาแบบฝรั่งเศส เช่น ในปี ค.. 1925 มีการก่อตั้งพรรคสมาคมชาวเวียดนามหนุ่มนักปฏิวัติ ซึ่งต่อมาคือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งอินโดจีนมีเหงวียน อาย กว๊อก เป็นหัวหน้า หรือที่รู้จักในนาม โฮจิมินห์
ในยุคที่ชาติตะวันตกได้ขยายอิทธิพลเข้าในเอเชีย  ในระยะเวลาใกล้ๆ กันนี้ คือ ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 และที่ 2 ญี่ปุ่นเป็นชาติเอเชียชาติเดียวที่สามารถพัฒนาประเทศขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและทหารแข่งกับชาติยุโรปได้  ญี่ปุ่นได้ดำเนินนโยบายจักรวรรดินิยมอย่างขนาดหนัก  หลังจากที่ญี่ปุ่นชนะในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น จากนั้นญี่ปุ่นได้เริ่มจากผนวกเกาหลีใน ค.. 1910 ยึดแมนจูเรียใน ค.. 1932 รุกรานจีน 
ในระยะเวลาเดียวกันนี้ญี่ปุ่นก็กำลังขยายอิทธิพลอยู่ในเขตเวียดนามเหนือและในทางด้านยุโรปฝรั่งเศสได้พ่ายแพ้สงครามแก่เยอรมันนี  ทำให้ในส่วนอินโดจีนของฝรั่งเศสนั้นญี่ปุ่นก็ได้เข้ามายึดครองอย่างเต็มที่  เป็นอันว่าฝรั่งเศสหมดอำนาจลงในทันที  จากนั้นญี่ปุ่นก็เข้ายึดครองเวียดนาม  ได้สนับสนุนให้จักรพรรดิบ๋าวด่ายมีอำนาจและประกาศเอกราชให้แก่เวียดนาม แต่ชาวเวียดนามไม่ได้ภูมิใจกับเอกราชที่ญี่ปุ่นหยิบยื่นให้ จึงมุ่งดำเนินงานใต้ดินเพื่อกอบกู้เอกราชของชาติ  ต่อมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (สงครามมหาเอเชียบูรพาในเอเชีย) โฮจิมินห์จัดตั้งขบวนการเวียดมินห์  หรือสันนิบาตเพื่อเอกราชเวียดนาม  ในเวียดนามตอนใต้ใน ค.. 1941 ขบวนการนี้มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชและรวมชาติเวียดนามหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ต่อมาญี่ปุ่นได้ยอมยุติสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรโดยไม่มีเงื่อนไข  ถือได้ว่าเวียดนามได้ก้าวสู่ยุคใหม่  แต่เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  ฝรั่งเศสพยายามกลับเข้ามาเวียดนามปกครองอีก  การพยายามกลับมามีอำนาจของฝรั่งเศสทำให้เกิดสงครามอีกครั้ง  แต่หลังจากฝรั่งเศสรบแพ้ที่เดียนเบียนฟูในเดือนพฤษภาคม ค.. 1954 ฝรั่งเศสจึงยอมให้เอกราชแก่เวียดนามตามข้อตกลงเจนีวา  ข้อตกลงดังกล่าวแบ่งเวียดนามออกเป็น 2 ส่วนที่เส้นรุ้งที่ 17 องศาเหนือ  ได้แก่  เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้  แต่ภายหลังพวกเวียดมินห์ซึ่งนำโดยโฮจิมินห์  ในปี ค.ศ. 1976  ได้มีการประกาศการรวมเวียดนามเหนือและใต้เข้าด้วยกันภายใต้รัฐบาลเดียวและประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม   เป็นอันสิ้นสุดการต่อสู้เพื่อเอกราชและรวมชาติเวียดนามที่ดำเนินมาตั้งแต่ยุคอาณานิคมฝรั่งเศสในครึ่งหลังศตวรรษที่ 19  จนกระทั่งถึงยุคสงครามเย็นในครึ่งหลังศตวรรษที่ 20 นับเป็นเวลากว่า 100 ปี

โดยสรุป
การแสวงหาอาณานิคมของโลกตะวันตกส่งผลให้ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเชีย เป็นต้น ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาติตะวันตกที่พยายามแสวงหาดินแดนใหม่เพื่อระบายสินค้าและรองรับความเจริญเติบโตด้านอุตสาหกรรมของประเทศตะวันตก  ลัทธิล่าอาณานิคม  ส่วนใหญ่เป็นการแข่งขันกันระหว่างสองมหาอำนาจของชาติตะวันตก คือ อังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อแย่งดินต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ซึ่งได้ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก  
เวียดนามก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องเผชิญกับลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก  การเข้ามาเวียดนามในระยะแรกนั้น  บทบาทของฝรั่งเศสได้เข้ามาเพื่อค้าขายและเผยแพร่ศาสนาคริสต์เท่านั้น จากนั้นก็อาศัยช่วงที่เวียดนามเกิดความวุ่นวายภายในประเทศเข้าแทรกการเมืองภายในประเทศ  และสุดท้ายก็ใช้กำลังทหารเข้ายึดเวียดนามไว้ภายใต้การปกครอง  โดยในระยะต่อมาฝรั่งเศสก็สามารถยึดกัมพูชา และลาวไว้เป็นอาณานิคม  และได้จัดตั้งสหพันธ์อินโดจีนเพื่อใช้ในการบริหารจัดการปกครองอาณานิคม
การเข้ามาของระบอบอาณานิคมฝรั่งเศสในดินแดนเวียดนามได้ก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านวิถีชีวิต  ไปจนกระทั่งในระดับความคิดของชาวเวียดนาม  ในระหว่างที่เวียดนามตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส  ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในหลายๆด้าน เช่น ด้านการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ  ด้านการศึกษา ด้านสังคมและวัฒนธรรม ในด้านการเมืองการปกครองนั้นฝรั่งเศสได้เข้ามาจัดระเบียบการปกครองในลักษณะของสหพันธ์อินโดจีนที่ได้รวบรวมเอากัมพูชาและลาวเข้าไว้ด้วย ในด้านเศรษฐกิจนั้นฝรั่งเศสได้แสวงหาผลประโยชน์ในดินแดนเวียดนามโดยเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการถือครองที่ดิน  ซึ่งทำให้ที่ดินส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยชาวฝรั่งเศส  และการผลิตข้าวเพื่อการส่งออกนี้ก็ทำให้วิถีชีวิตของชาวนาเวียดนามเปลี่ยนแปลงไปด้วย  ในด้านการศึกษาฝรั่งเศสได้ประดิษฐ์ภาษาเวียดนามที่ใช้อักษรโรมัน ที่เรียกว่า อักษรกว๊วกหงือ ขึ้นมาใช้ในการเรียนการสอน  เพื่อให้ง่ายต่อการใช้ภาษาสื่อสาร ซึ่งเดิมเป็นภาษาฮ้านที่ทำให้เขียนช้าและยากต่อการเรียนรู้ ส่วนในด้านสังคมและวัฒนธรรม การได้รับการศึกษาแบบใหม่ และการเผยแพร่วัฒนธรรมฝรั่งเศส เป็นความพยายามกลืนวัฒนธรรมและครอบงำความเป็นชาติของเวียดนาม เพื่อที่จะได้ง่ายต่อการปกครองเวียดนาม นอกจากนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมเมืองสมัยใหม่
หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ โดยเฉพาะในด้านการศึกษานี้เอง อักษรกว๊วกหงือถูกนำมาเป็นเครื่องมือให้ขบวนการชาตินิยมเวียดนามใช้เผยแพร่ความเกี่ยวกับเอกราชและการพัฒนาต่างๆ โดยปัญญาชนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการศึกษาแบบฝรั่งเศสซึ่งนำโดยโฮจิมินห์  ในยามที่เกิดศึกภายนอกชาวเวียดนามผนึกกำลังเพื่อต่อต้านฝรั่งเศสหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งโฮจิมินห์วีรบุรุษแห่งเวียดนามได้ก่อตั้งขบวนการเวียดมินห์  โดยรวบรวมกำลังของคนในชาติต่อสู้กับฝรั่งเศสจนสามารถกอบกู้เอกราชเวียดนามได้ และบทสุดท้ายของการสิ้นสุดสงคราม  เวียดนามได้กลายเป็นประเทศที่มีระบบการปกครองแบบสังคมนิยม
จากการที่เวียดนามอยู่ใต้การปกครองฝรั่งเศสนั้นผลเสียที่เวียดนามได้รับคือ รูปแบบวิถีการดำเนินชีวิตแบบเดิม การปกครองที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ทำให้เวียดนามสูญเสียรายได้ในการพัฒนาประเทศ  การเปลี่ยนแปลงการถือครองที่ดินส่งผลกระทบต่อชาวนารายย่อย และความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของชาวเวียดนาม  ในส่วนผลประโยชน์นั้นเวียดนามได้รับการพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น ระบบถนน ระบบสาธารณสุข  การพัฒนาชลประทาน โดยเฉพาะในด้านศึกษา  การประดิษฐ์อักษรกว๊วกหงือใช้ในการเรียนนั้นได้รับการถ่ายทอดมาเป็นระบบภาษาเวียดนามที่ใช้ในการสื่อสารมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทำให้ให้ง่ายสะดวกต่อการใช้ในการเรียนรู้




บรรณานุกรม

นิจ      ทองโสภิต. สงครามเวียดนามและไทยจะเป็นเวียดนามแห่งที่สองหรือไม่. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จรัล
           สนทวงศ์, 2516.
เพ็ชรี  สุมิตร. ประวัติศาสตร์การเมืองเวียดนาม. กรุงเทพฯ : บริษัทสำนักพิมพ์ ไทยวัฒนาพานิช จำกัด ,
           2522.        
เพ็ชรี  สุมิตร. เวียดนามประวัติศาสตร์ฉบับพิสดาร. พิมพ์ครั้งที่ 2 : มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, มูลนิธิ
          โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, 2552.
สุด     จอนเจิดสิน. ประวัติศาสตร์เวียดนามตั้งแต่สมัยอาณานิคมจนถึงปัจจุบัน. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่
           ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550.